ดูแลสุขภาพ

เรื่องสุขภาพที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม

เรื่องสุขภาพที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม

แม้ว่าจะมีปัญหาสุขภาพมากมายที่สมควรได้รับความสนใจ ประเด็นสำคัญที่ทุกคนต้องตระหนัก โดยไม่คำนึงถึงอายุ เพศ หรือไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตประจำวัน

1.สุขภาพจิต สุขภาพจิตมีความสำคัญพอๆ กับสุขภาพกาย และการละเลยอาจส่งผลร้ายแรงได้ หากคุณกำลังดิ้นรนกับความวิตกกังวล ซึมเศร้า หรือปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณสมบัติเหมาะสม

2.โรคเรื้อรัง โรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง เบาหวาน และมะเร็ง เป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตและความพิการทั่วโลก สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงต่อโรคเหล่านี้และดำเนินการเพื่อลด เช่น การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่

3.โรคติดเชื้อ โรคติดเชื้อ เช่น โควิด-19 ไข้หวัดใหญ่ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ สิ่งสำคัญคือต้องทำตามขั้นตอนเพื่อป้องกันตัวเองจากโรคเหล่านี้ เช่น การฉีดวัคซีน สุขอนามัยที่ดี และการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย

4.มะเร็ง มะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ทั่วโลก แต่มะเร็งหลายชนิดสามารถรักษาให้หายขาดได้หากตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักถึงสัญญาณและอาการของโรคมะเร็งและเข้ารับการตรวจคัดกรองเป็นประจำตามคำแนะนำของแพทย์

5.อุบัติเหตุและการบาดเจ็บ อุบัติเหตุและการบาดเจ็บเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตและความพิการที่พบบ่อย สิ่งสำคัญคือต้องดำเนินการเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ เช่น การขับขี่อย่างปลอดภัย การคาดเข็มขัดนิรภัย และการใช้หมวกกันน็อคเมื่อขี่จักรยานหรือรถจักรยานยนต์

6.การใช้สารเสพติด การใช้สารเสพติด ซึ่งรวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาเสพติด อาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพ ความสัมพันธ์ และการเงินของคุณ หากคุณกำลังดิ้นรนกับการใช้สารเสพติด มีแหล่งข้อมูลมากมายที่จะช่วยให้คุณได้รับการรักษา

สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าความต้องการด้านสุขภาพของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป ดีที่สุดคือเลือกที่จะปรึกษาพูดคุยกับแพทย์ของคุณเกี่ยวกับข้อกังวลเฉพาะของคุณ และรับคำแนะนำส่วนบุคคลเกี่ยวกับวิธีการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง

เคล็ดลับดูแลร่างกายในวัยทำงาน เพื่อรากฐานสุขภาพในอนาคต

เคล็ดลับดูแลร่างกายในวัยทำงาน เพื่อรากฐานสุขภาพในอนาคต

วัยทำงานเป็นช่วงเวลาที่ใช้ทั้งร่างกายและจิตใจมากที่สุด เพราะต้องคอยรับมือทั้งกับงานและคนที่มักจะนำปัญหาต่าง ๆ เข้ามาให้แก้ไข การทุ่มเททั้งตัวและใจในการทำงานเป็นเรื่องที่ดี แต่การฝืนตัวเองจนนำไปสู่อาการเจ็บป่วยหรือโรคที่เกิดจากการทำงานเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะจะส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว ดังนั้นต้องหมั่นดูแลตัวอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งสามารถทำได้ทุกวันด้วยวิธีการเหล่านี้

  1. ทานอาหารให้ตรงเวลา

คนทำงานมักมีภาระหน้าที่แทรกเข้ามาจนอาจทำให้ต้องทานอาหารไม่ตรงเวลาอยู่บ่อย ๆ ซึ่งเรื่องนี้เป็นสัญญาณที่ไม่ดีเลย เพราะการทำพฤติกรรมแบบนี้ซ้ำ ๆ อาจจะนำไปสู่โรคกระเพาะอาหารได้ ดังนั้นควรกำหนดเวลาทานอาหารอย่างจริงจัง อย่าอดอาหาร และควรทานอาหารเพื่อสุขภาพเป็นประจำด้วย

  1. อย่าอดนอนทำงาน

หลายคนชอบแบกงานค้างมาทำที่บ้าน เมื่อทำงานไปนาน ๆ รู้ตัวอีกทีเวลากลับผ่านไปทั้งคืนแล้ว วัยทำงานเป็นวัยที่มีความเสี่ยงในการอดนอนสูง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ไม่ดีเลย เพราะการอดนอนเป็นสาเหตุของโรคความดัน โรคหัวใจ แถมยังมีผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันอีกต่างหาก ดังนั้นวัยทำงานควรนอนให้ได้วันละ 7-9 ชั่วโมง และควรฝึกเข้านอนให้เป็นเวลา จนร่างกายจดจำเป็นนิสัย จะได้รู้สึกสดชื่นทุกครั้งที่เริ่มวันใหม่ในตอนเช้า

  1. ปาร์ตี้แบบพอดี ๆ

การไปสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานในโอกาสต่าง ๆ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในสังคมของวัยทำงาน ยิ่งทำงานเครียดยิ่งอยากปลดปล่อย แต่การปาร์ตี้บ่อย ๆ อาจจะทำให้ต้องดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปด้วย ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสมองเสื่อม ระบบทางเดินอาหารทำงานได้ไม่สมบูรณ์ แถมยังส่งผลต่อวงจรการนอนโดยตรง นอกจากนั้นถ้าเมาแล้วต้องขับรถกลับบ้านยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุอีกด้วย

  1. อย่านั่งแช่หน้าคอมนาน ๆ

การทำงานติดต่อกันเป็นเวลาหลายชั่วโมง คนทำงานมีโอกาสที่จะเผลอนั่งท่าเดิมเป็นเวลานานเกินไป จนทำให้มีอาการเจ็บปวดที่คอ บ่า ไหล่ นอกจากนั้นยังเป็นการใช้สายตามากเกินควร สิ่งนี้เป็นสาเหตุหลักของการเกิดออฟฟิศซินโดรมโดยตรง ดังนั้นควรหมั่นลุกไปยืดเส้นยืดสายทุก 20 นาที และปรับสถานที่ทำงานให้เหมาะกับระยะสายตาและความสูงด้วย

  1. ทำงานแบบไม่เครียด

ความเครียดและความกดดันไม่ได้ช่วยให้คุณภาพของงานดีขึ้น มีแต่จะบั่นทอนสุขภาพของคนเท่างานไปเปล่า ๆ ดังนั้นควรทำงานอย่างเต็มที่แต่ไม่กดดัน และอย่าลืมหาโอกาสในการผ่อนคลาย อาจจะด้วยการไปเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศ หรือหางานอดิเรกทำหลังเลิกงาน นอกจากนั้นการใช้เวลากับคนที่รักหรือสัตว์เลี้ยงเป็นอีกทางในการดูแลสุขภาพจิตได้เป็นอย่างดี

หลักการดูแลสุขภาพของวัยทำงานที่นำมาแนะนำในวันนี้เป็นพื้นฐานวิธีการดูแลตัวเองที่นำไปสู่การมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน อย่าลืมว่าเมื่อคุณเกษียณงานจะไม่ใช่ความรับผิดชอบของคุณอีกต่อไป แต่สุขภาพร่างกายและจิตใจเป็นสิ่งที่จะอยู่กับคุณไปจนท้ายที่สุด ดังนั้นต้องให้ความสำคัญกับสุขภาพมาเป็นอันดับหนึ่งจึงจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อย่างยาวนาน

เคล็ดลับสุขภาพแข็งแรง ของคนวัยเกษียณอายุ

เคล็บลับสุขภาพแข็งแรง ของคนวัยเกษียณ

1.เคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอ

 ออกกำลังกายเป็นประจำหรือทำกิจกรรมที่เหมาะสมกับระดับความฟิตและความสนใจของคุณ กิจกรรมต่างๆ เช่น การเดิน ว่ายน้ำ โยคะ หรือไทชิสามารถช่วยเพิ่มความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดโดยรวม

2.รักษาสมดุลของอาหาร

เน้นการบริโภคผลไม้ ผัก ธัญพืชเต็มเมล็ด โปรตีนไม่ติดมัน และไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จำกัดอาหารแปรรูป ขนมหวาน และเกลือที่มากเกินไป การให้ความชุ่มชื้นอย่างเพียงพอยังมีความสำคัญต่อสุขภาพโดยรวมอีกด้วย

3.รับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ

 นัดหมายกับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพเป็นประจำเพื่อตรวจคัดกรอง ฉีดวัคซีน และติดตามสภาวะสุขภาพที่มีอยู่ การตรวจพบและการรักษาแต่เนิ่นๆ มักจะสามารถป้องกันหรือจัดการปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้

4.มีส่วนร่วมกับสังคมอยู่เสมอ

การรักษาสายสัมพันธ์ทางสังคมอาจส่งผลดีต่อสภาพจิตใจและอารมณ์ที่ดี เข้าร่วมชมรม อาสาสมัคร มีส่วนร่วมในกิจกรรมชุมชน หรือใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนฝูง ความเหงาและการแยกตัวทางสังคมอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ ดังนั้น การติดต่อสื่อสารจึงเป็นเรื่องสำคัญ

5.จัดลำดับความสำคัญของสุขภาพจิต

 การเกษียณอายุอาจนำมาซึ่งความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ หาเวลาทำกิจกรรมดูแลตัวเองที่ส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดี เช่น การทำสมาธิ ฝึกสติ ทำงานอดิเรก หรือใฝ่หาการเรียนรู้ตลอดชีวิต ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญหากคุณรู้สึกวิตกกังวล ซึมเศร้า หรือกังวลเรื่องสุขภาพจิตอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง

6.นอนหลับอย่างมีคุณภาพ

ตั้งเป้านอนหลับอย่างมีคุณภาพให้ได้ 7-9 ชั่วโมงในแต่ละคืน สร้างกิจวัตรการนอนหลับให้เป็นปกติ สร้างสภาพแวดล้อมการนอนหลับที่สบาย และจำกัดสิ่งกระตุ้น เช่น คาเฟอีนก่อนนอน การนอนหลับที่ดีนั้นจำเป็นต่อสุขภาพโดยรวม ความรู้ความเข้าใจ และระดับพลังงาน

7.ฝึกฝนการจัดการกับความเครียด

 ค้นหาวิธีที่ดีต่อสุขภาพในการจัดการกับความเครียด เช่น ใช้เทคนิคการผ่อนคลาย ฝึกหายใจลึกๆ หรือมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ทำให้เกิดความสุขและความสงบ ความเครียดเรื้อรังอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ

8.ปกป้องผิวของคุณ

 เมื่ออายุมากขึ้น ผิวของคุณจะไวต่อการทำลายจากแสงแดดมากขึ้น ทาครีมกันแดดเป็นประจำ สวมชุดป้องกันและหาที่ร่มในช่วงเวลาที่มีแดดจัดเพื่อลดความเสี่ยงของมะเร็งผิวหนังและริ้วรอยก่อนวัย

9.ทำจิตใจให้ตื่นอยู่เสมอ

 มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่กระตุ้นสมองของคุณ เช่น อ่านหนังสือ ไขปริศนา เล่นเครื่องดนตรี หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ การรักษาความคิดของคุณให้กระฉับกระเฉงสามารถช่วยรักษาการทำงานของการรับรู้และลดความเสี่ยงของการลดลงของความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับอายุ

10.ฟังร่างกายของคุณ

ใส่ใจกับการเปลี่ยนแปลงหรืออาการที่ร่างกายของคุณอาจประสบ สิ่งสำคัญคือต้องจัดการทันทีและขอคำแนะนำทางการแพทย์หากจำเป็น การตรวจสอบตนเองอย่างสม่ำเสมอและการรับรู้ถึงสัญญาณของร่างกายสามารถนำไปสู่การตรวจหาและป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เนิ่นๆ

โปรดจำไว้ว่านี่เป็นคำแนะนำทั่วไป และขอแนะนำให้ปรึกษากับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณเสมอ เพื่อขอคำแนะนำเฉพาะบุคคลตามความต้องการด้านสุขภาพและประวัติทางการแพทย์ของคุณ

สาย healthy ฟังทางนี้ 8 เมนูเพื่อสุขภาพรสเเซ่บ

สาย healthy ฟังทางนี้ 8 เมนูเพื่อสุขภาพรสเเซ่บ

หากพูดถึงการรักษาหุ่นหรือลดน้ำหนักการอดอาหารไม่ใช่ทางเลือกที่ดีอีกต่อไป เพราะหากทำเช่นนั้นร่างกายจะขาดสารอาหารและเกิดเอฟเฟกต์ได้ทีหลังหรือหิวมากขึ้นที่เรียกว่า “ตะบะแตก” แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ทำลายความตั้งใจทั้งหมดตั้งแต่ต้น ฉะนั้นคนสมัยนี้จึงเลือกทานมากขึ้น โดยจะต้องเป็นเมนูที่แคลอรี่ต่ำ โซเดียมต่ำและ low sugar ฉะนั้นวันนี้ทางเราจึงขอนำเสนอทางเลือกในการรักษาหุ่นจาก 8 เมนูเพื่อสุขภาพแต่รสแซ่บ ดังนี้

1.อกไก่พริกไทยดำ เป็นเนื้อส่วนของไก่ที่สายคลีนและสาย healthy เลือกทาน เพราะไขมันต่ำ โปรตีนสูง เสริมสร้างกล้ามเนื้อ หากทานแนะนำว่าให้โรยเกลือและพริกไทยดำเล็กน้อย สามารถทานคู่กับสลัดได้ 

2.ต้มยำกุ้งน้ำใส หลายคนที่เข้าคอร์สลดน้ำหนักคงเบื่อการทานอาหารรสจืดชืด ฉะนั้นเมนูที่จะมาเพิ่มความแซ่บให้คุณ แต่ยังคงรักษาแคลอรี่ได้ดีคือ ต้มยำกุ้งน้ำใส เลือกใส่ผักที่มีประโยชน์ควบคู่ไปด้วยและทานกุ้งในปริมาณที่เหมาะสม

3.ส้มตำ เป็นเมนูที่แซ่บที่สุดและเหมาะกับสายคลีนหากไม่ปรุงรสจัดเกินไป ทุกอย่างที่คลุกเคล้ากันจะต้องมาในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากจนเกินไป มิเช่นนั้นอาจทำให้คุณบวมได้ เพราะโซเดียมในเมนูนี้สูง ควรลดหากอยากหุ่นสวยแต่ได้ทานอะไรแซ่บ ๆ 

4.สเต็กปลาแซลมอน เมนูยอดฮิตที่สาย healthy จะขาดไม่ได้เลย เพราะในเนื้อปลาแซลมอนมีไขมันดี โปรตีน โอเมก้า 3 ซึ่งเมนูนี้มีความอร่อยในตัวอยู่แล้ว แทบไม่ต้องปรุงอะไรมากเลย ที่สำคัญมีประโยชน์มากทีเดียวและดีต่อสุขภาพ

5.สลัดโรล ไม่เพียงสาย healthy เท่านั้นที่ชื่นชอบ คนทั่วไปก็ชอบทานมากทีเดียว  เพราะมีรสชาติถูกปากและแคลอรี่ต่ำ แต่หากจะทานเพื่อสุขภาพจริง ๆ อาจจะเลือกน้ำสลัดไขมันต่ำจะดีมาก 

6.อกไก่ผัดผักรวมมิตร ใครที่กำลังควบคุมอาหารหรือน้ำหนัก เมนูเหมาะมากทีเดียว ได้ประโยชน์เยอะแยะมากมาย ในส่วนของผักที่นำมาผัดสามารถเลือกได้ตามใจชอบ แนะนำว่าควรเป็นผักที่มีวิตามินสูงและผักที่ควรเลี่ยงคือที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูง

7.เห็ดผัดกุ้งน้ำมันหอย บอกเลยว่าเมนูนี้ต้องถูกใจคนรักสุขภาพอย่างแน่นอน เพราะในเห็ดเป็นแหล่งโปรตีนแคลอรี่ต่ำและมีสารอาหารมากมาย ถือว่าเป็นเมนูที่ตอบโจทย์สาย healthy และอิ่มท้องมากทีเดียว

8.สลัดอกไก่ฉีก เป็นเมนูสุดท้ายที่โดนใจคนที่กำลังไดเอทมากทีเดียว ในเนื้อไก่ไม่เพียงมีไขมันต่ำ โปรตีนสูงเท่านั้น ผักที่นำมาทานคู่กันยังให้ประโยชน์มากมาย อยู่ที่ว่าคุณจะเลือกชนิดในมาทานคู่กันเท่านั้น 

จากเมนูทั้งหมดที่เรานำเสนอจะเห็นว่านอกจากจะไข่มันต่ำแล้ว คาร์โบไฮเดรตหรือแป้งต้องมีปริมาณน้อยมาก ๆ เพราะถือเป็นสารอาหารที่ทำให้เกิดไขมันส่วนเกิน อย่างไรก็ตามเพื่อให้การลดหุ่นเกิดผลดีจะต้องควบคุมอาหารให้ได้ เลือกทานแต่ที่มีประโยชน์เท่านั้นและออกกำลังกายควบคู่

สายเฮลท์ตี้ต้องรู้ ดื่มน้ำเวลาไหนได้ประโยชน์มากที่สุด

สายเฮลท์ตี้ต้องรู้ ดื่มน้ำเวลาไหนได้ประโยชน์มากที่สุด

น้ำคือสิ่งที่จำเป็นต่อสุขภาพ นั่นคือสิ่งที่เราทุกคนรู้อยู่แล้ว ไม่ว่าคุณจะชอบดื่มน้ำธรรมดา หรือชาน้ำเขียวอุ่นๆ ที่สำคัญก็คือคุณจะต้องแน่ใจว่า ในแต่ละวันนั้นคุณดื่มน้ำเพียงพอ สายเฮลตี้ทั้งหลายต่างก็ให้ความสำคัญกับการดื่มน้ำ เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของเราต้องการน้ำ น้ำเป็นสิ่งจำเป็นต่อระบบการย่อยอาหาร น้ำเป็นองค์ประกอบหลักในเลือด และที่สำคัญน้ำจะช่วยให้สมองของคุณทำงานได้อย่างปกติ

ดื่มน้ำเวลาไหนร่างกายจะได้ประโยชน์มากที่สุด 

งานวิจัยในด้านการแพทย์ แนะนำให้สำหรับเพศชายนั้นควรจะได้รับของเหลวรวมทั้งน้ำ อย่างน้อย 13 แก้วต่อวัน ส่วนเพศหญิง 8 แก้วขึ้นไปต่อวัน จึงจะเหมาะสมและเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ตัวเลขนี้ก็อาจจะยืดหยุ่นขึ้นลงได้ ขึ้นอยู่กับกิจกรรมในแต่ละวันของคุณด้วย เช่น หากคุณเป็นหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร คุณก็ต้องเพิ่มปริมาณน้ำที่ควรจะได้รับในแต่ละวันให้มากขึ้น และสำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งคุณควรจะดื่มน้ำเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดในแต่ละวันนั้น เป็นอย่างไรมาดูกันเลย

1. ช่วงเวลาหลังตื่นนอนใหม่ ๆ 

เนื่องจากในช่วงที่คุณนอนหลับ ร่างกายไม่ได้รับน้ำเป็นเวลานาน ดังนั้นการที่คุณดื่มน้ำอุ่นๆ สัก 2 ถ้วยในตอนนี้ จะทำให้ร่างกายของคุณสดชื่นขึ้นในทันที

2. ก่อนมื้ออาหาร

การดื่มน้ำสัก 1 แก้วก่อนมื้ออาหารจ ะช่วยลดความหิวลงได้ น้ำที่คุณดื่มเข้าไปจะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มได้มากขึ้น ทำให้คุณลดการบริโภคที่เกินกว่าจำเป็นได้อีกด้วย แต่เทคนิคการดื่มน้ำก่อนมื้ออาหาร ก็คือ คุณควรจะดื่มน้ำอุ่นๆ เพราะจะช่วยให้ระบบการย่อยดีขึ้น

3. ดื่มน้ำหลังมื้ออาหาร

การดื่มน้ำหลังมื้ออาหารจะช่วยส่งเสริมกระบวนการย่อยอาหาร น้ำจะช่วยล้างช่องปากและหลอดอาหาร รวมทั้งช่วยให้อาหารเคลื่อนไปในระบบการย่อยผ่านกระเพาะและลำไส้ได้ดี โดยเฉพาะหากคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง การจับตัวของไฟเบอร์กับน้ำ จะทำให้ระบบการขับถ่ายของคุณเป็นไปโดยปกติมากยิ่งขึ้น

4. ดื่มน้ำสัก 2 แก้วในช่วงบ่ายแก่ ๆ

เป็นธรรมดาอยู่เองที่ในช่วงเวลาบ่าย ผู้คนมักจะรู้สึกง่วงงุนขาดความกระปรี้กระเปร่า สาเหตุที่แท้จริงนั้นมาจากภาวะขาดน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าอากาศร้อนอบอ้าว ซึ่งคนบางคนเลือกที่จะดื่มกาแฟ ข้อดี ก็คือ กาแฟก็ถือว่าเป็นของเหลวเหมือนกัน แต่หากคุณลองแปลี่ยนมาดื่มน้ำอุ่นๆซัก 2 แก้วแทน  คุณจะรู้สึกว่า คุณได้รับความสดชื่นขึ้นอย่างทันทีทันใด แถมยังช่วยลดการบริโภคคาเฟอีนอีกด้วย

การปรับนิสัยการดื่มน้ำเหล่านี้ อาจจะเป็นเรื่องท้าทาย เพราะเราจะเคยชินกับนิสัยเดิม ๆ แต่เชื่อว่าหากคุณมุ่งมั่น ก็ไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินไป ลองเก็บขวดน้ำไว้ใกล้ ๆ ตัว บนโต๊ะทำงาน ข้างเตียงนอน ก็จะทำให้ง่ายต่อการที่คุณจะหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม สุขภาพดีนั้นเริ่มต้นไม่ยาก เพียงแค่ดื่มน้ำให้ถูกต้องและเพียงพอ แล้วคุณก็จะเป็นคนที่สตรองและเฮลตี้ในที่สุด

อาหารที่มีฤทธิ์ด่างช่วยเปลี่ยนสมดุล pH ของร่างกาย ได้จริงหรือไม่

อาหารที่มีฤทธิ์ด่างช่วยเปลี่ยนสมดุล pH ของร่างกาย ได้จริงหรือไม่

ในช่วงนี้มีเรื่องราวมากมายที่กล่าวถึงประโยชน์ของอาหารด่างหรืออาหารที่มีค่า pH ค่าความเป็นกรดเป็นด่างอยู่ในช่วงที่มากกว่า 7 ซึ่งในทางโภชนศาสตร์จะเรียกว่า อาหารอัลคาไลน์ ที่ได้รับการกล่าวขานว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพ นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับน้ำดื่มที่มีฤทธิ์เป็นด่าง ที่นำเสนอมากมายเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่ใส่ใจสุขภาพได้ซื้อหา ดังนั้นเราจะเปิดมุมมองในเชิงวิทยาศาสตร์ และนำเสนอข้อเท็จจริงในอีกแง่มุม ถึงผลลัพธ์และคุณประโยชน์ในเชิงของผลกระทบที่มีต่อร่างกายของผู้ที่รับประทานอาหารด่าง

อาหารที่มีฤทธิ์ด่างช่วยเปลี่ยนสมดุล pH ของร่างกาย ได้จริงหรือไม่

ก่อนอื่นเราต้องมาทำความรู้จักกับอาหารด่าง ว่าเป็นอาหารประเภทอะไร ในทางวิทยาศาสตร์เมื่อเราบริโภคอาหารเข้าไป ร่างกายก็จะนำอาหารไปใช้ โดยผ่านกระบวนการเผาผลาญ เกิดปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลงอาหารเหล่านี้ไปเป็นพลังงาน แล้วจะมีผลพลอยได้เป็นของเสีย ซึ่งจะถูกขับถ่ายออกทางระบบปัสสาวะ โดยของเสียที่เกิดขึ้นจากอาหารประเภทต่าง ๆ ก็จะส่งผลทำให้ค่า pH ในปัสสาวะของเราแตกต่างกัน โดยอาหารที่เรียกว่าอาหารด่างนั้น หลังจากเกิดปฏิกิริยาการเผาผลาญของเสียที่ได้จากอาหารประเภทนี้ จะทำให้ค่า pH ของปัสสาวะของเรา มีค่าเป็นด่างนั่นเอง 

ตัวอย่างอาหารให้ของเสียที่ทำให้ปัสสาวะของเราเป็นด่าง ได้แก่ อาหารที่ไม่ผ่านกระบวนการทั้งหลาย โดยเฉพาะผักสด ผลไม้ หรือน้ำผลไม้สกัดเย็น มันฝรั่ง ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผลิตภัณฑ์นมและโยเกิร์ต สมุนไพรต่าง ๆ น้ำมันมะกอก น้ำมันอะโวคาโด เมล็ดเจีย เมล็ดเฟล็กซ์

ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าการเผาผลาญอาหารเหล่านี้จะส่งผลกับค่า pH ในปัสสาวะ แต่ในความเป็นจริง ในเรื่องของการรักษาสมดุลของค่า pH ซึ่งจะส่งผลกับสุขภาพโดยตรงนั้น จะไม่ใช่ค่า pH ในน้ำปัสสาวะ แต่เป็นค่า pH ในกระแสเลือด ซึ่งโดยปกติเลือดของคนที่มีสุขภาพสมบูรณ์จะอยู่ในช่วงค่า pH ประมาณ 7.36 ถึง 7.44 หรือ เรียกได้ว่าเลือดจะมีลักษณะที่เป็นด่างเล็กน้อยอยู่เสมอ ในกรณีที่ค่าสมดุล pH ในเลือดของคุณไม่เหมาะสม คือมีลักษณะเป็นกรด จะเสี่ยงกับการเกิดอันตรายจนถึงแก่ชีวิตได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษา อีกทั้งยังเป็นบ่อเกิดของโรคบางอย่างอย่าง เช่น โรคเบาหวาน 

แต่ร่างกายของคนเราก็มีกลไกในการที่จะคงรักษาระดับค่า pH ของกระแสเลือดให้คงที่เป็นปกติอยู่แล้ว ดังนั้นหากเราหยิบยกประเด็นที่ว่า อาหารด่างช่วยรักษาสมดุลของค่า pH ของร่างกาย และทำให้สุขภาพดีนั้น จึงถือว่าไม่ตรงกับกลไกโดยปกติของร่างกายนัก

เมื่อพิจารณาถึงประเภทชนิดของอาหารด่างตามที่กล่าวข้างต้น เราจะพบว่าอาหารเหล่านี้ดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่สำหรับประเด็นการรักษาสมดุลค่า pH ของร่างกาย แต่ดีกับร่างกายในแง่เป็นอาหารที่ไม่ผ่านกระบวนการแปรรูป มีกากใยสูง ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นจะต้องไปเสียเงินเพิ่มเพื่อซื้อน้ำด่างหรือรับประทานแต่อาหารด่างเท่านั้น การรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ปรุงสุก สดใหม่ จึงเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ต่อความมีสุขภาพที่ดีได้มากกว่านั่นเอง

วิธีการดูแลสุขภาพ หลังหายจากโควิด

วิธีการดูแลสุขภาพ หลังหายจากโควิด

ภายหลังจากรักษาตัวจากอาการ โควิด-19 จนหายดีแล้ว นอกจากปอดแล้วยังมีอวัยวะที่มีโอกาสได้รับผลกระทบจากเชื้อโรคชนิดนี้โดยตรง อวัยวะบางชนิดอาจถูกทำลายไปบางส่วน ส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกายส่วนอื่น ๆ อย่างหัวใจและหลอดเลือด และสมรรถภาพทางร่างกายโดยรวมได้รับผลกระทบตามไปด้วย เพราะภาวะการติดเชื้อโควิด-19 มักส่งผลให้ร่างกายเกิดภาวะอักเสบของอวัยวะหลายระบบ (Multisystem Inflammatory Syndrome: MIS) ดังนั้นแม้ว่าผู้ป่วยจะรักษาตัวจนหายดีแล้ว ก็ยังมีโอกาสที่จะหลงเหลืออาการแสดงบางอย่างได้ เกิดเป็นอาการที่เรียกว่าภาวะลองโควิด

ภาวะลองโควิด’ (Long Covid) หรือที่เรียกว่า Post-Covid Syndrome คืออาการที่มีลักษณะคล้ายกับตอนที่ติดเชื้อโควิด-19 อยู่ หรืออาจเป็นอาการใหม่แบบที่ผู้ติดเชื้อไม่เคยเป็นมาก่อนได้เช่นกัน ยิ่งในกรณีของผู้ติดเชื้อที่มีอาการหนักจำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลเป็นเวลานาน ๆ ก็ยิ่งมีโอกาสได้รับผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวมากยิ่งขึ้น แต่แม้ว่าจะเป็นผู้ติดเชื้อที่มีอาการน้อย หรือแทบไม่มีอาการเลย ก็สามารถมีอาการลองโควิดได้เช่น โดยอาการที่เกิดขึ้นอาจยาวนานได้มากถึง 3 เดือนขึ้นไปอีกด้วย

ตัวอย่างอาการที่เรียกว่าลองโควิด

  1. อาการอ่อนเพลียแบบเรื้อรัง เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ
  2. ใจสั่น หายใจได้ไม่เต็มอิ่ม รู้สึกแน่น ๆ ที่หน้าอก
  3. มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ สมองไม่สดชื่น ความทรงจำไม่ดีเหมือนก่อนติดเชื้อ
  4. ปวดตามข้อต่าง ๆ อาจรู้สึกเจ็บจี๊ด ๆ ตามเนื้อตัว หรือตามปลายมือปลายเท้า
  5. รู้สึกเหมือนมีไข้เกือบตลอดเวลา
  6. เกิดภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล หรือเกิดผลกระทบต่อจิตใจหลังเผชิญกับสถานการณ์ป่วยที่รุนแรง (Post-Traumatic Stress Disorder)

สาเหตุการเกิดภาวะ Long Covid ในปัจจุบันยังไม่สามารถสรุปสาเหตุที่มาของอาการ Long Covid ได้ชัดเจน แต่มีการข้อสันนิษฐานต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

  1. เชื้อโควิด-19 อาจทิ้งร่องรอยความเสียหายเอาไว้ตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เมื่ออวัยวะเกิดความเสียหายก็จะไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ หากเกิดความเสียหายบริเวณสมอง อาจเกิดภาวะสมองล้า (Brain Fog Syndrome) หรือหากเกิดความเสียหายที่ปอด จะเกิดความผิดปกติขณะที่กำลังหายใจ เช่น หายใจถี่ ๆ เหนื่อยหอบได้ง่าย เป็นต้น
  2. ระบบการทำงานของภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ อาจเกิดขึ้นในกรณีที่ผู้ป่วยเคยมีภูมิคุ้มกันร่างที่แข็งแรง แต่เมื่อหายจากโควิด-19 แล้ว ภูมิคุ้มกันของร่างกายอาจหันมาทำลายเซลล์ในร่างกายของตนเองแทนได้
  3. หลงเหลือชิ้นส่วนของไวรัสโควิด-19 เอาไว้ในร่างกาย ซึ่งชิ้นส่วนเหล่านี้อาจยังทำงานอยู่หรือไม่ก็ได้ ซึ่งจะไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จนเกิดอาการป่วยได้

แนวทางการฟื้นฟูร่างกายเมื่อเกิดภาวะ Long Covid เมื่อทราบเกิดอาการ Long Covid แนะนำให้ขอคำปรึกษาจากแพทย์ และผู้ป่วยควรดูแลร่างกายเพิ่มเติมเพื่อลดผลกระทบจากการอักเสบที่เกิดขึ้นจากโควิด-19 ด้วย ดังนี้

  1. กินอาหารที่ช่วยฟื้นฟูร่างกาย โดยเฉพาะอาหารประเภทโปรตีนมีส่วนในการซ่อม สร้าง และเสริมเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย จึงควรกินอาหารที่มีโปรตีนเป็นส่วนประกอบ อย่างเนื้อสัตว์ ปลา ไข่ และถั่วชนิดต่าง ๆ
  2. เลือกกินอาหารประเภทแป้งไม่ขัดสี อย่างข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต เพื่อลดอัตราการดูดซึมน้ำตาลที่เร็วเกินไป เพราะน้ำตาลจะกระตุ้นการอักเสบได้
  3. เน้นการกินผักและผลไม้ เพื่อให้ร่างกายได้สารอาหารที่ครบถ้วน
  4. ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม การออกกำลังกายจะช่วยฟื้นฟูร่างกายให้กลับมามีสมรรถภาพตามเดิมได้ แต่ต้องไม่หักโหมเกินไป ควรเริ่มจากท่าออกกำลังกายเบา ๆ เน้นการเคลื่อนไหวแบบช้า ๆ แต่นานให้มากที่สุด การเร่งรีบออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็ว จะส่งผลให้ปอด หรืออวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายทำงานหนักเกินไปได้

ดูแลสุขภาพอย่างไรจึงแข็งแรงในช่วงฤดูหนาว

ดูแลสุขภาพอย่างไรจึงแข็งแรงในช่วงฤดูหนาว

ในฤดูหนาว อากาศมักจะมีความเย็นกว่าปกติ ขณะเดียวกันก็อาจจะมีแดดและฝนร่วมด้วยในบางวัน ทำให้หลายคนที่สุขภาพไม่แข็งแรง โดยเฉพาะเด็กผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคภูมิแพ้ โรคหอบ มีอาการกำเริบและทำให้ทรุดหนักจากการติดเชื้อแทรกซ้อนได้ เรามาดูกันว่าจะมีวิธีใดที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น ป้องกันโรคภัยในช่วงฤดูหนาวได้เป็นอย่างดี

1.รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง

ผักสีเขียวเข้ม เช่น ผักคะน้า ผักกาดเขียว ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น สับปะรด ส้ม มะนาว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ฝรั่ง ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวให้ดียิ่งขึ้น ป้องกันการติดเชื้อไวรัสที่แพร่ระบาดในฤดูหนาวได้เป็นอย่างดี

2.การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

การออกกำลังกายในช่วงฤดูหนาวเป็นเรื่องที่ยากสำหรับหลายคน เพราะอากาศดีน่านอน แต่ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องแบ่งเวลาออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาทีเช่น การเดินเร็ว กระโดดเชือก ปั่นจักรยานหรือเดินแกว่งแขน สามารถกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิต้านทานร่างกายให้แข็งแรงยิ่งขึ้น และยังช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญ ลดความอ้วนไปในตัวด้วย

3.การหลีกเลี่ยงที่ชุมนุมชน

ในช่วงที่อากาศเปลี่ยน หากมาอยู่รวมกันในที่สาธารณะ เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงหนัง ร้านอาหารห้องแอร์ ที่อากาศถ่ายเทไม่ดี จะมีโอกาสได้รับเชื้อโรคนานานชนิดเข้าสู่ร่างกายมาก ซึ่งในช่วงฤดูหนาวจะเป็นเวลาที่หลายคนพากันไปเที่ยวกับครอบครัว จึงจำเป็นจะต้องระมัดระวังสุขภาพมากขึ้น ควรเลือกสถานที่ท่องเที่ยวที่มีอากาศปลอดโปร่งบริสุทธิ์ เช่น แนวธรรมชาติ น้ำตก ภูเขา แม่น้ำ จะปลอดภัยกว่า

4.การล้างมือบ่อย ๆ

โรคที่ติดเชื้อที่พบบ่อยในฤดูหนาว ส่วนหนึ่งมาจากแบคทีเรียที่มือเราสัมผัสสิ่งต่าง ๆ แล้วจับอาหาร จึงติดเชื้อในลำไส้ ทำให้ท้องเสีย และเสี่ยงเป็นโรคผิวหนังด้วย การล้างมือบ่อย ๆ จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยให้ห่างไกลโรคได้ โดยต้องล้างให้สะอาดระหว่างง่ามนิ้วเล็บและบริเวณข้อมือด้วย

5.สวมเสื้อผ้าหนาเพียงพอ

การที่อากาศหนาวเย็นกว่าปกติ จำเป็นต้องสวมเสื้อผ้าหลายชั้น สวมถุงเท้าและหมวกไหมพรมในเวลานอน ก็จะช่วยให้ร่างกายมีอุณหภูมิที่อุ่นขึ้น โดยเฉพาะเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ต้องมีคนดูแลเพิ่มผ้าพันคอไหมพรม และใส่ชุดคลุมแขนยาวเสมอเมื่อต้องออกนอกบ้าน

การดูแลสุขภาพใน ช่วงฤดูหนาว ต้องใส่ใจทั้งการป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อจากผู้อื่น เลือกอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม รับประทานอาหารที่ดีและออกกำลังกาย หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่านได้นำไปปรับใช้เพื่อการดูแลสุขภาพให้ห่างไกลโรคในช่วงฤดูหนาวได้ทุกครอบครัว

วิธีใดที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น

ดูแลสุขภาพอย่างไรให้ห่างไกลจากโรคช่วงฤดูหนาว

ดูแลสุขภาพอย่างไรให้ห่างไกลจากโรคช่วงฤดูหนาว

โดยปกติแล้ว ในช่วงปลายปีและต้นปี อากาศจะหนาวกว่าช่วงอื่น ๆ ในทุกภาค ซึ่งกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมากกว่าคนวัยทำงาน เพราะภูมิต้านทานที่อ่อนแอ หากมีการติดเชื้อเพียงเล็กน้อย ก็อาจจะมีอาการลุกลามบานปลาย เช่น จากไข้หวัด กลายเป็นโรคปอดบวม หรือไข้หวัดใหญ่ได้

วิธีที่ช่วยเสริมสุขภาพให้แข็งแรงในช่วงฤดูหนาว

1. การสวมใส่เสื้อผ้าหนา

การนุ่งห่มร่างกายด้วยเสื้อผ้าที่หนาขึ้น ไม่ว่าจะเป็นช่วงกลางวันหรือกลางคืนเป็นสิ่งสำคัญที่ห้ามมองข้าม โดยเด็กและผู้สูงอายุผิวจะแห้ง ระคายเคืองง่าย จึงควรให้สวมใส่เสื้อผ้าแขนยาวและสวมถุงเท้า เพื่อช่วยในการรักษาอุณหภูมิตามศาสตร์แพทย์แผนจีน หากมีการออกนอกบ้าน ควรให้พันคอด้วยผ้าไหมหรือสวมหมวกไหมพรม จะป้องกันอาการหวัดมีน้ำมูกหรือเป็นไข้ได้ดีขึ้น

2. รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง

ควรเสริมวิตามินซีจากธรรมชาติ คือ ส้ม มะเขือเทศ มะนาว ฝรั่ง รวมถึงผักใบเขียว ที่มีการวิจัยว่าสามารถเสริมประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาว ช่วยต่อต้านการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้น หากไม่สะดวกจะรับประทานวิตามินซีแบบเม็ดวันละ 500 ถึง 1000 มิลลิกรัม ราคาเฉลี่ยเม็ดละ 5-10 บาท ก็จะช่วยให้ร่างกายห่างไกลจากปัญหาสุขภาพในช่วงฤดูหนาวได้ดีขึ้น

3. ดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ

ในช่วงอากาศเย็น โดยเฉพาะคนที่อยู่ภาคเหนือ จะนิยมดื่มชาร้อนตลอดวัน เพื่อช่วยให้ควบคุมอุณหภูมิภายในร่างกายได้ดียิ่งขึ้น หรือเลือกดื่มน้ำผลไม้สูตรร้อน เช่น น้ำมะตูม น้ำขิง น้ำเก๊กฮวยช่วงเช้าและบ่าย ก็จะช่วยให้รู้สึกสบายตัวมากขึ้น ที่สำคัญควรงดเว้นการดื่มน้ำเย็นหรือน้ำแข็งในช่วงนี้ด้วย

4. เพิ่มการเผาผลาญด้วยการออกกำลังกาย

การกระตุ้นระบบเมตาบอลิซึมของร่างกายด้วยการออกกำลังกายต่อเนื่อง 15-30 นาทีทุกวัน โดยเฉพาะตอนเช้า จะทำให้ร่างกายมีการกระตุ้นการทำงานของเซลล์ในอวัยวะต่าง ๆ ให้สมดุลอยู่เสมอ ระบบฮอร์โมนและสารเคมีจะทำงานได้ดีขึ้น ทั้งยังได้กระตุ้นการเผาผลาญ เสริมสร้างความอบอุ่นอย่างเป็นธรรมชาติได้ โดยควรเลือกให้เหมาะกับวัย เช่น การเดิน การเล่นโยคะ ฯลฯ

การดูแลสุขภาพ ให้กับทุกคนในครอบครัวในช่วงฤดูหนาวเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยติดเตียง ผู้ที่มีโรคประจำตัว เด็ก ผู้สูงอายุ นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ทางการแพทย์ยังแนะนำให้มีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ในช่วงที่มีการระบาดด้วย

อย่าลืมว่า การช่วยกันใส่ใจดูแลให้ตัวเองและคนรอบข้างให้มีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง จะทำให้อารมณ์แจ่มใสและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในทุก ๆ วัน

วิธีใดที่ช่วยเสริมสุขภาพให้แข็งแรงในช่วงฤดูหนาว

รอให้ถึงเวลา ดูแลสุขภาพ ก็อาจจะสายเสียแล้ว

ความสะดวกทำให้เสียสุขภาพ

“สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง” คำกล่าวที่ดูเหมือนจะเข้ากับยุคสมัยปัจจุบันเป็นอย่างมาก น่าแปลกที่คนเรารู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังทำ ยังทำในที่นี้หมายถึงทำร้ายตัวเองด้วยวิธีสารพัดไม่ต่างอะไรกับการเติมน้ำมันรถยนต์ผิดประเภท เป็นเครื่องเบนซินแต่ไปพลาดเติมน้ำมันดีเซล ร่างกายคนเราก็ไม่ต่างจากเครื่องยนต์ และเป็นเครื่องยนต์ที่ซับซ้อน มูลค่าสูงกว่ารถสปอร์ตหรูราคาสิบล้าน

นับตั้งแต่วัยเด็ก คนเราก็ถูกธุรกิจอุตสาหกรรมอาหาร ป้อนพลังงานที่ไม่เหมาะสมเข้าร่างกายแบบไม่รู้ตัว ทั้งขนมหวาน ลูกอม ขนมกรุบกรอบที่มีไขมันสูง อาหารจานด่วน ไอศกรีม รวมถึงน้ำอัดลมและน้ำหวาน ไม่นับถึงวัฒนธรรมการกินอาหารปิ้งย่างที่นำภัยร้ายเข้าสู่ร่างกายแบบค่อยเป็นค่อยไป จึงไม่น่าแปลกใจที่พบว่า โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง จะปรากฏแก่กลุ่มคนที่มีอายุน้อยลง ๆ เหตุเพราะการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสมนี้เอง

ความสะดวกทำให้เสียสุขภาพ

นอกจากอาหารที่กินเข้าไปอย่างไม่เหมาะสมแล้ว ยังมีการออกกำลังกายที่น้อยลงด้วย จากพฤติกรรมเสพติดเทคโนโลยี รายการทีวีและสมาร์ทโฟน การเล่นเกมก็ทำให้เคลื่อนไหวร่างกายน้อยลงมาก ซึ่งต่างจากการละเล่นสมัยก่อนที่เน้นการเคลื่อนไหวของสายตาและร่างกาย นอกจากนี้วัยผู้ใหญ่ก็เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งรถยนต์ บันไดเลื่อน ลิฟต์ ทำให้โอกาสในการออกกำลังกายก็ลดน้อยลง

วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ต้องเร่งรีบทุกอย่างรวมถึงการกินที่เคี้ยวเร็วเกินไป การกินข้าวคำน้ำคำ กินไปคุยไป และการปรุงรสที่มากเกินพอดี ยิ่งทำให้อาหารไม่ย่อย เกิดลมในกระเพาะ การได้รับโซเดียมสูงจากเครื่องปรุงรสและน้ำซุปต่าง ๆ และยังมีความเสี่ยงจากอาหารเป็นพิษ หากบังเอิญกินอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะมีเชื้อโรคปน ก็ทำให้สุขภาพอยู่ในความเสี่ยง

ด้วยภาวะความเสี่ยงด้านต่าง ๆ จะกลายเป็นชนวนก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาในระยะเวลาที่ร่างกายมีอายุมากขึ้น ภูมิคุ้มกันมีประสิทธิภาพลดลง หรือพักผ่อนน้อยจากความเครียดในการทำงานและใช้ชีวิต ซึ่งหลายคนก็ถือว่าอาจจะสายเกินไปแล้วที่จะแก้ไขให้สุขภาพกลับมาดีดังเดิม หรือถ้าแก้ไขได้ก็ทำให้ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลราคาแพงอีก

จะดีกว่าไหม ถ้าคนเราจะคำนึงถึงสุขภาพกันตั้งแต่วันนี้ โดยไม่ต้องรอให้เกิดอาการของโรคปรากฏ แต่หันมาดูแลการกินและการอยู่ของตนเองว่าควรจะปรับปรุงเรื่องอะไรบ้าง อะไรที่ทำผิดแนวทางอยู่ก็ปรับเปลี่ยนเสียใหม่ หลายคนอาจจะปรับชีวิตแบบหน้ามือเป็นหลังมือถ้าจิตใจเข้มแข็งพอ แต่บางคนก็ต้องค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนอย่างค่อยเป็นค่อยไป

เริ่มจากการมองตัวเองในกระจก วัดรอบเอวว่าได้กี่นิ้ว ไปตรวจสุขภาพร่างกายประจำปีที่โรงพยาบาล รวมถึงสุขภาพในช่องปาก แล้วจดบันทึกเพื่อเปรียบเทียบการพัฒนาตนเอง จะทำให้มีกำลังใจดูแลสุขภาพได้อย่างต่อเนื่อง

รอให้ถึงเวลา ดูแลสุขภาพ ก็อาจจะสายเสียแล้ว