General

สายเฮลท์ตี้ต้องรู้ ดื่มน้ำเวลาไหนได้ประโยชน์มากที่สุด

สายเฮลท์ตี้ต้องรู้ ดื่มน้ำเวลาไหนได้ประโยชน์มากที่สุด

น้ำคือสิ่งที่จำเป็นต่อสุขภาพ นั่นคือสิ่งที่เราทุกคนรู้อยู่แล้ว ไม่ว่าคุณจะชอบดื่มน้ำธรรมดา หรือชาน้ำเขียวอุ่นๆ ที่สำคัญก็คือคุณจะต้องแน่ใจว่า ในแต่ละวันนั้นคุณดื่มน้ำเพียงพอ สายเฮลตี้ทั้งหลายต่างก็ให้ความสำคัญกับการดื่มน้ำ เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของเราต้องการน้ำ น้ำเป็นสิ่งจำเป็นต่อระบบการย่อยอาหาร น้ำเป็นองค์ประกอบหลักในเลือด และที่สำคัญน้ำจะช่วยให้สมองของคุณทำงานได้อย่างปกติ

ดื่มน้ำเวลาไหนร่างกายจะได้ประโยชน์มากที่สุด 

งานวิจัยในด้านการแพทย์ แนะนำให้สำหรับเพศชายนั้นควรจะได้รับของเหลวรวมทั้งน้ำ อย่างน้อย 13 แก้วต่อวัน ส่วนเพศหญิง 8 แก้วขึ้นไปต่อวัน จึงจะเหมาะสมและเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ตัวเลขนี้ก็อาจจะยืดหยุ่นขึ้นลงได้ ขึ้นอยู่กับกิจกรรมในแต่ละวันของคุณด้วย เช่น หากคุณเป็นหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร คุณก็ต้องเพิ่มปริมาณน้ำที่ควรจะได้รับในแต่ละวันให้มากขึ้น และสำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งคุณควรจะดื่มน้ำเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดในแต่ละวันนั้น เป็นอย่างไรมาดูกันเลย

1. ช่วงเวลาหลังตื่นนอนใหม่ ๆ 

เนื่องจากในช่วงที่คุณนอนหลับ ร่างกายไม่ได้รับน้ำเป็นเวลานาน ดังนั้นการที่คุณดื่มน้ำอุ่นๆ สัก 2 ถ้วยในตอนนี้ จะทำให้ร่างกายของคุณสดชื่นขึ้นในทันที

2. ก่อนมื้ออาหาร

การดื่มน้ำสัก 1 แก้วก่อนมื้ออาหารจ ะช่วยลดความหิวลงได้ น้ำที่คุณดื่มเข้าไปจะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มได้มากขึ้น ทำให้คุณลดการบริโภคที่เกินกว่าจำเป็นได้อีกด้วย แต่เทคนิคการดื่มน้ำก่อนมื้ออาหาร ก็คือ คุณควรจะดื่มน้ำอุ่นๆ เพราะจะช่วยให้ระบบการย่อยดีขึ้น

3. ดื่มน้ำหลังมื้ออาหาร

การดื่มน้ำหลังมื้ออาหารจะช่วยส่งเสริมกระบวนการย่อยอาหาร น้ำจะช่วยล้างช่องปากและหลอดอาหาร รวมทั้งช่วยให้อาหารเคลื่อนไปในระบบการย่อยผ่านกระเพาะและลำไส้ได้ดี โดยเฉพาะหากคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง การจับตัวของไฟเบอร์กับน้ำ จะทำให้ระบบการขับถ่ายของคุณเป็นไปโดยปกติมากยิ่งขึ้น

4. ดื่มน้ำสัก 2 แก้วในช่วงบ่ายแก่ ๆ

เป็นธรรมดาอยู่เองที่ในช่วงเวลาบ่าย ผู้คนมักจะรู้สึกง่วงงุนขาดความกระปรี้กระเปร่า สาเหตุที่แท้จริงนั้นมาจากภาวะขาดน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าอากาศร้อนอบอ้าว ซึ่งคนบางคนเลือกที่จะดื่มกาแฟ ข้อดี ก็คือ กาแฟก็ถือว่าเป็นของเหลวเหมือนกัน แต่หากคุณลองแปลี่ยนมาดื่มน้ำอุ่นๆซัก 2 แก้วแทน  คุณจะรู้สึกว่า คุณได้รับความสดชื่นขึ้นอย่างทันทีทันใด แถมยังช่วยลดการบริโภคคาเฟอีนอีกด้วย

การปรับนิสัยการดื่มน้ำเหล่านี้ อาจจะเป็นเรื่องท้าทาย เพราะเราจะเคยชินกับนิสัยเดิม ๆ แต่เชื่อว่าหากคุณมุ่งมั่น ก็ไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินไป ลองเก็บขวดน้ำไว้ใกล้ ๆ ตัว บนโต๊ะทำงาน ข้างเตียงนอน ก็จะทำให้ง่ายต่อการที่คุณจะหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม สุขภาพดีนั้นเริ่มต้นไม่ยาก เพียงแค่ดื่มน้ำให้ถูกต้องและเพียงพอ แล้วคุณก็จะเป็นคนที่สตรองและเฮลตี้ในที่สุด

กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ สิ่งที่ควรทำหากต้องการมีสุขภาพดี

กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ สิ่งที่ควรทำหากต้องการมีสุขภาพดี

การมีสุขภาพที่ดีไม่มีโรคภัยรุมเร้าคงเป็นความฝันของใครหลายๆคน การที่เราจะมีร่างกายที่แข็งแรงได้นั้นนอกจากการออกกำลังกายแล้ว อาหารการกินก็สำคัญเช่นกัน เพราะร่างกายของเรานั้นต้องการอาหารเพื่อเข้าไปสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย หลายครั้งที่เรามักจะจัดหนักกับอาหารจำพวกบุฟเฟ่ต์ หมูกระทะ ชาบูหรือปิ้งย่าง จนเราได้รับสารอาหารมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ หรือบางครั้งเราไปเที่ยวกับเพื่อน มีการจัดปาร์ตี้สังสรรค์ ในงานแบบนี้เราก็คงหนีพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่พ้น สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง กระดูกพรุน โรคอ้วนและโรคมะเร็งบางชนิด และในปัจจุบันอัตราการเสียชีวิตของคนทั่วโลกนั้นมีสาเหตุมาจากโรคหัวใจและหลอดเลือดมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เราจึงต้องหาวิธีป้องกันและหลีกเลี่ยงต้นเหตุของการเกิดโรคโดยทำวิธีเหล่านี้

ร่างกายของเราต้องการสารอาหารหลัก เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน และสารอาหารรอง เช่น วิตามิน และแร่ธาตุ เพื่อที่เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายจะดูดซึมสารอาหารและพลังงานต่าง ๆไปใช้ในเรื่องการทำงานของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย สัดส่วนของอาหารที่ควรได้รับในแต่ละวันโดยแบ่งตามความจำเป็น ดังนี้

สัดส่วนของอาหารที่ควรได้รับในแต่ละวัน

ขั้นที่ 1 กลุ่มคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าวขาว ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวโอ๊ต โฮลวีท โฮลเกรน ขนมปัง เส้นพาสต้า และน้ำตาล ควรกินวันละ 8–12 ทัพพี เพราะข้าวนั้นเป็นอาหารหลักของคนไทย คนส่วนมากชอบที่จะทานข้าวขาวที่ผ่านการขัดสีแล้ว แต่ในความเป็นจริงเราควรเลือกข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี เช่น ข้าวกล้อง และข้าวซ้อมมือ เพราะเป็นข้าวที่มีสารอาหารมากกว่าข้าวขาว หรืออาจเลือกอาหารประเภทแป้งชนิดอื่นมาทดแทนได้ เช่น ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน บะหมี่ ขนมปัง เผือก และมัน

ขั้นที่ 2 วิตามินและแร่ธาตุ เช่น มะม่วง ฝรั่ง ส้ม มะเขือเทศ และผักใบเขียว ควรกินผักวันละ 4–6 ทัพพี และกินผลไม้วันละ 3–5 ส่วน ผักและผลไม้นั้นให้พลังงานค่อนข้างต่ำ ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก ลดความดันโลหิต คอเลสเตอรอล ต้านอนุมูลอิสระ บำรุงสายตา บำรุงหัวใจ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ มะเร็ง และโรคหลอดเลือดสมอง

ขั้นที่ 3 โปรตีน เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อเป็ด เนื้อไก่ เนื้อปลา ไข่ และนม ควรกินเนื้อสัตว์วันละ 6–12 ช้อนกินข้าว การเลือกเนื้อสัตว์ควรเป็นเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมันหรือติดมันน้อยจะช่วยในเรื่องของการสะสมไขมันในร่างกาย และดื่มนมวันละ 1–2 แก้ว นมจะช่วยในเรื่องของการเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ชะลอการเสื่อมของกระดูกหรือโรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ

ขั้นที่ 4 ไขมัน เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมะพร้าว น้ำมันเมล็ดดอกคำฝอย ไขมัน ช่วยละลายและดูดซึมวิตามินหลายชนิด แต่ไม่ควรทานมากจนเกิดไป เพราะหากทานอาหารประเภทไขมันมากจนเกิดไปอาจเกิดปัญหาในเรื่องของระดับคอเลสเตอรอลสูงและเกิดโรคอ้วนได้ ควรทานไขมันไม่เกิน 16 ช้อนชาต่อวัน

นอกจากนี้แล้วอย่าลืมหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสจัด เช่น มีรสหวาน หรือเค็มจัด ทานอาหารที่ไม่มีการปนเปื้อน เก็บอาหารให้ถูกสุขลักษณะ และสุดท้ายสำคัญที่สุดคือ งดหรือลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ เพียงเท่านี้เราก็มีสุขภาพดีได้แล้ว

สุขภาพดี เริ่มต้นด้วยการตรวจสุขภาพ

สุขภาพดี เริ่มต้นด้วยการตรวจสุขภาพ

“การไม่มีโรคคือลาภอันประเสริฐ” แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าร่างกายของเราไม่มีอาการผิดปกติ การตรวจสุขภาพประจำปี คือ สิ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรงที่อาจลุกลามในร่างกายโดยที่เราไม่รู้ตัว เนื่องจากในปัจจุบันสภาพแวดล้อม อากาศและโรคระบาดสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว

ควรตรวจสุขภาพประจำปีตอนอายุเท่าไหร่?

ในความเป็นจริงแล้วการตรวจสุขภาพประจำปีสามารถเริ่มได้ในทุกช่วงอายุแต่หลังจากอายุ 30 ปีขึ้นไป การตรวจสุขภาพประจำปีมีความจำเป็นมาก เพราะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ มากขึ้น เนื่องจากมีความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายแรงมากกว่าผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี

รายละเอียดโปรแกรมตรวจสุขภาพเบื้องต้นแบ่งตามช่วงอายุ

อายุต่ำกว่า 30 – 60 ปีขึ้นไป : เริ่มต้นด้วยการซักประวัติสุขภาพของตัวเองและคนในครอบครัว, ตรวจความดันโลหิต, ตรวจดัชนีมวลกาย, ตรวจความผิดปกติในเม็ดเลือด, ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด, ตรวจระดับไขมันในเลือด, ตรวจระดับกรดยูริกเพื่อเช็คความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์, ตรวจการทำงานของระบบการทำงานภายในร่างกาย เช่น ตับ ไต หัวใจและอื่น ๆ, ตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็งในทางเดินอาหาร, มะเร็งปากมดลูก รวมถึงตรวจปัสสาวะและอุจจาระเพื่อใช้วินิจฉัยในการหาเชื้อโรคในทางเดินอาหาร

อายุ 40 ปีขึ้นไป : ตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์, ตรวจสุขภาพหัวใจด้วยการวิ่งสายพานและคลื่นสะท้อนความถี่สูง, ตรวจหามะเร็งเต้านม, ตรวจหลอดเลือดใหญ่ที่คอ, ส่องกล้องคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่

อายุ 50 ปี ขึ้นไป : ตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็งตับอ่อน, มะเร็งถุงน้ำดี, มะเร็งเต้านม, มะเร็งต่อมลูกหมาก

ค่าใช้จ่ายในการตรวจสุขภาพประจำปี

ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการซื้อแพ็กเกจตรวจสุขภาพประจำปีของแต่ละโรงพยาบาลจะมีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับรายละเอียด, เพศ, อายุและเครื่องมือหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ของแต่ละแห่ง โดยส่วนใหญ่แล้วจะเริ่มต้นที่ประมาณหลักพัน – หลักหมื่น ทั้งนี้หากมีสิทธิประกันสังคมสามารถใช้สิทธิตรวจสุขภาพประจำปีฟรี! ได้ถึง 14 รายการ คือ การตรวจคัดกรองการได้ยิน, การตรวจเต้านม, ตรวจสุขภาพตา, ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด, ตรวจปัสสาวะ, ตรวจน้ำตาลในเลือด, ตรวจการทำงานของไต, ตรวจไขมันในเลือด, ตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ, ตรวจมะเร็งปากมดลูก, เอกซเรย์ปอดและตรวจเลือดในอุจจาระ สำหรับผู้ที่ต้องการใช้สิทธิประกันสังคมตรวจสุขภาพประจำปี สามารถตรวจสอบสิทธิได้ที่สถานพยาบาลตามสิทธิได้ด้วยตัวเอง

การดูแลสุขภาพร่างกายเป็นประจำ สังเกตอาการผิดปกติของร่างกายและรีบปรึกษาแพทย์จะช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรงตามช่วงวัย ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรงได้

นมผึ้ง ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพเทรนด์ใหม่ คุณประโยชน์เต็ม ๆ

นมผึ้ง ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพเทรนด์ใหม่ คุณประโยชน์เต็ม ๆ

“นมผึ้ง (Royal Jelly)” เกิดจากกระบวนการผลิตสารอาหารจากน้ำลายของผึ้งงานเพื่อใช้เป็นอาหารสำหรับตัวอ่อนและนางพญาผึ้ง โดยลักษณะเด่นของนมผึ้งจะมีสีขาวขุ่น อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย เช่น ช่วยปรับระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ช่วยลดอาการวัยทองในสตรีและช่วยลดอาการก่อนมีประจำเดือน, ช่วยบำรุงผิวพรรณให้มีสุขภาพดีพร้อมสารต่อต้านอนุมูลอิสระต้นเหตุของเซลล์ผิวเสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร, ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดและช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอภายในร่างกาย เป็นต้น จึงทำให้นมผึ้งถูกนำมาใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพและความงามมากมาย ซึ่งผลิตภัณฑ์นมผึ้งที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีดังนี้

Nature’s King Royal Jelly ผลิตภัณฑ์นมผึ้งชนิดแคปซูลจากประเทศออสเตรเลียแท้ 100% อุดมไปด้วยวิตามิน A, C, E, B1, B2, B3, B6, B9, โปรตีน, เหล็ก, กรดแอสปาร์ติกและกรดโฟลิก สามารถรับประทานได้ทั้งตอนเช้าและก่อนนอน วันละ 1 – 2 เม็ด มีให้เลือก 4 ขนาด 3 แบบ คือ Nature’s King Royal Jelly + Vit C เม็ดฟู่ ปริมาณบรรจุ 20 เม็ด ราคา 690 บาท, Nature’s King Royal Jelly Premium ปริมาณบรรจุ 180 เม็ด ราคา 1,490 บาท, Nature’s King Royal Jelly Original 1,000 มิลลิกรัม ปริมาณบรรจุ 120 เม็ด ราคา 590 บาท และ Nature’s King Royal Jelly Original ปริมาณบรรจุ 365 เม็ด ราคา 1,690 บาท

Wealthy Health Royal Jelly 1000mg 6% นมผึ้งจากออสเตรเลียชนิดแคปซูล อุดมไปด้วยวิตามินบีรวม, คาร์โบไฮเดรท โปรตีน, กรดไขมัน, วิตามิน A D E, แร่ธาตุต่าง ๆ , กรดอะมิโนและเจลาติน ปริมาณบรรจุ 365 เม็ด ราคา 2,415 บาท ด้วยปริมาณนมผึ้งเข้มข้นถึง 6% หรือ 1,000 มิลลิกรัม จึงไม่ควรรับประทานเกินวันละ 1 เม็ด หลังอาหาร

Real Elixir นมผึ้งออร์แกนิกจากธรรมชาติ อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินมากมายช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและปรับฮอร์โมนทั้งชาย/หญิง คืนความอ่อนเยาว์วัยด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่เต็มเปี่ยม รับประทานง่ายเพียงวันละ 1 – 2 เม็ด ปริมาณบรรจุขวดละ 30 แคปซูล ราคา 690 บาท

Royal Bee นมผึ้งแท้ 100% ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันที่มีกระบวนการผลิตที่แตกต่างจากนมผึ้งทั่วไป เพราะไม่ผ่านความร้อนจึงสามารถคงคุณประโยชน์เอาไว้ได้อย่างดีและยังมีปริมาณของนมผึ้งอัดแน่นถึง 1,500 มิลลิกรัม ช่วยปรับสมดุลของระบบการทำงานและฮอร์โมน รวมถึงช่วยเพิ่มเกราะป้องกันเชื้อไวรัส แบคทีเรียตัวการที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ และมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอความแก่ พร้อมซ่อมแซมเซลล์ผิวทำให้ผิวและร่างกายแข็งแรงขึ้น ปริมาณบรรจุขวดละ 30 เม็ด ราคา 1,490 บาท

(ราคาทั้งหมด อาจเปลี่ยนแปลงตามปัจจุบัน ขอให้ตรวจสอบราคาจำหน่ายอีกครั้ง)

ทั้งนี้ แม้ว่านมผึ้งจะเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ควรรับประทานในปริมาณที่กำหนดไว้บนฉลากและรับประทานควบคู่ไปกับอาหาร 5 หมู่ เพื่อสุขภาพผิวและร่างกายที่ดียิ่งขึ้น

โรคในดวงตาที่ต้องระวัง เพื่อสุขภาพการมองเห็นที่ดี

โรคในดวงตาที่ต้องระวัง เพื่อสุขภาพการมองเห็นที่ดี

ดวงตาของคนเราเป็นอวัยวะสำคัญในการรับภาพ ถ้ามีความผิดปกติต่าง ๆ เกิดขึ้นต้องรีบทำการตรวจรักษา เพื่อแก้ไขอย่างทันท่วงที เราจึงได้รวบรวมโรคที่มักพบบ่อยในดวงตามาฝากกัน เพื่อให้ทุกท่านได้ระมัดระวังตัวมากขึ้น ดังนี้

1.โรคต้อหิน
ต้อหินมักเกิดกับคนที่อายุมาก เนื่องจากความดันภายในลูกตาสูงขึ้น จะมีอาการปวดหัว คลื่นไส้อย่างรุนแรง แต่ขณะเดียวกัน ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่แสดงอาการใด ๆ เลย แต่อาการของโรคต้อหินจะลุกลามจนทำลายเส้นประสาทตา แล้วทำให้มองไม่เห็นในที่สุด

2.โรคตาต้อกระจก
ต้อกระจกเกิดจากเลนส์ของตามีความขุ่นมากขึ้น จนปิดบังวิสัยทัศน์ในการมองเห็น ไม่ว่าจะอ่านหนังสือ หยิบจับของใช้ หรือการขับรถ ย่อมทำได้ไม่สะดวกอย่างเคย ต้าต้อกระจกเป็นโรคที่พบบ่อยในผู้ใหญ่วัยเกษียณ แต่บางกรณีก็พบได้ในคนอายุน้อยที่มีปัญหาการใช้ยาบางอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน โดยเฉพาะยากลุ่มสเตียรอยด์ หากพบว่า ตนเองมองภาพได้ไม่คมชัด มีลักษณะเป็นเหมือนหมอกกระจายอยู่ทั่วไป เห็นภาพซ้อน ฯลฯ ต้องรีบให้จักษุแพทย์ตรวจโดยเร็ว

3.โรคต้อเนื้อและต้อลม
อาการต้อเนื้อและต้อลม โดยทั่วไปจะเป็นอย่างช้า ๆ และไม่รุนแรงขนาดทำให้มองไม่เห็นภาพ แต่จะส่งผลให้สายตาเอียง หรือการมองเห็นภาพคมชัดน้อยลง สาเหตุที่พบส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการถูกทำลายของเยื่อบุตาจากรังสียูวีในแสงแดด จึงเป็นโรคที่พบบ่อยในคนที่อยู่ในภูมิภาคเขตร้อนมากกว่าทางยุโรป และคนที่ต้องทำงานเผชิญกับฝุ่น ลม ควัน ไอแดด เป็นประจำ

4.โรควุ้นตาเสื่อม
วุ้นตาอยู่ภายในลูกนัยน์ตาติดกับจอประสาทตา หากมีความเสื่อมจะทำให้เกิดการจับตัวกลายเป็นก้อนลอยไปมา มีลักษณะคล้ายหยากไย่ให้รู้สึกรำคาญบ่อย ๆ บางครั้งก็มีลักษณะเป็นแสงวูบวาบแบบฟ้าผ่าหรือฟ้าแลบได้ มักพบกับคนที่มีปัญหาสายตาสั้นหรืออายุ 50 ปีขึ้นไป หากเริ่มมีอาการควรรีบให้แพทย์ตรวจเพื่อทำการรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป

5.โรคเบาหวานขึ้นตา
โรคเบาหวานนอกจากเกี่ยวข้องกับการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนแล้ว ยังเกิดการส่งผลร้ายไปที่ดวงตาได้ เพราะเบาหวานจะทำให้หลอดเลือดและเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงดวงตามีประสิทธิภาพน้อยลง จึงมีปัญหาตามัวและสูญเสียการมองเห็นได้ในเวลาไม่นาน หากมีโรคประจำตัวเป็นเบาหวาน ควรหมั่นตรวจสุขภาพดวงตาและควบคุมน้ำตาลในเลือด เพื่อไม่ให้เป็นรุนแรงถึงระดับเบาหวานขึ้นตา

โรคดวงตาที่กล่าวมานั้น เป็นโรคใกล้ตัวและมีความรุนแรงของอาการแตกต่างกันไป หากเป็นน้อยอาจส่งผลต่อวิสัยทัศน์การมองเห็น หากรุนแรงมากจะทำให้สูญเสียการมองเห็นภาพแบบถาวร ดังนั้น ทุกคนจึงควรตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อคัดกรองโรค หากพบความผิดปกติจะได้ทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที

เรื่องสำคัญของ พุง มาตรฐานชี้วัดด้านสุขภาพ

เรื่องสำคัญของ พุง มาตรฐานชี้วัดด้านสุขภาพ

เชื่อว่าหลายท่านไม่เคยหยิบสายวัดมาวัดรอบพุงตัวเองจนกว่าจะซื้อกางเกงตัวใหม่ เพราะมักจะชั่งน้ำหนักกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ได้รู้สึกว่ารอบเอวกำลังขยาย จนกระทั่งเริ่มรู้สึกอึดอัดกับกางเกงที่สวมอยู่ว่าทำไมคับแน่นเกินไปแล้ว ลองหยิบสายวัดมาตรวจสอบกันตอนนี้ดู ถ้าเป็นผู้ชาย รอบพุงไม่ควรเกิน 36 นิ้ว หรือ 90 ซ.ม. ส่วนผู้หญิงไม่ควรเกิน 32 นิ้ว หรือ 80 ซ.ม.

ทำไมเรื่องขนาดรอบพุงจึงสำคัญนัก เพราะเป็นตัวชี้วัดว่าแต่ละบุคคลจะมีความเสี่ยงหรือไม่ในด้านสุขภาพ โดยเฉพาะในเรื่อง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด ถ้าใครวัดแล้วมีความยาวเกินที่กล่าวข้างต้น ก็ถือว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ยิ่งเกินมาก ยิ่งเสี่ยงมาก พุงจึงเป็นการตรวจสอบที่ง่ายที่สุดว่าถึงเวลาที่จะต้องหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพกันได้แล้วหรือยัง

การลดพุงทำได้อย่างไร

หาความรู้ ก่อนอื่นใดจะต้องตระหนักถึงภัยร้ายและผลกระทบหากมีรอบพุงเกินกำหนดเสียก่อน โดยการหาความรู้เพิ่มเติมในอินเทอร์เน็ต เพื่ออ่านข้อมูลที่ช่วยยืนยันและตอกย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดูแลขนาดความยาวรอบพุงเสียตั้งแต่วันนี้ และทำอย่างต่อเนื่องจนรอบพุงอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน และคงขนาดรอบพุงที่เหมาะสมให้ต่อเนื่องไปได้อีกเป็นเวลานาน

สร้างแรงจูงใจ จะทำสิ่งใด ถ้าไม่มีแรงจูงใจก็คงจะหมดกำลังใจไปเสียก่อน หาภาพบุคคลที่คุณชื่นชอบเรื่องรูปร่างที่สมส่วน ไม่ต้องถึงกับเป็นนางแบบหุ่นดีหรือนายแบบหุ่นล่ำสัน แต่ให้มีรูปร่างแบบคนธรรมดาที่ดูสุขภาพดี การดูรูปเหล่านี้บ่อย ๆ จะทำให้คุณมีแรงใจในการทำตามเป้าหมายต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการงดทานอาหารทอด อาหารหวาน มัน เค็ม ที่โปรดปราน หรือการขยับตัวมาออกกำลังกาย

กินอาหารที่เหมาะสม เมื่อมีความรู้และกำลังใจที่ดีแล้ว ก็มาเริ่มการเลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่กินให้อิ่มมากเกินไป และกินอาหารที่หลากหลาย หลีกเลี่ยงอาหารทอด ขนมกรุบกรอบ อาหารปิ้งย่าง อาหารคอเลสเตอรอลสูง เช่น หอยนางรม ปลาหมึก รวมถึงอาหารรสจัด หวาน มัน เค็ม การเลือกกินจะทำให้สุขภาพค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นและมีขนาดรอบพุงลดลงได้

ออกกำลังกาย เมื่อกินอาหารเข้าไปแล้ว ก็ต้องมีการออกกำลังกายบ้าง เช่น การแกว่งแขน การออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อให้ร่างกายได้มีการขยับเคลื่อนไหวอยู่เสมอ ไม่ติดอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป ไม่ออกกำลังกายแบบหักโหมเพียงเพื่อต้องการเห็นผลระยะสั้น เพราะต้องเข้าใจก่อนว่า ที่ผ่านมาระหว่างที่อ้วนลงพุงมากขึ้นเรื่อย ๆ นั้นเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้น เพื่อให้ร่างกายค่อย ๆ ปรับสมดุล จึงควรออกกำลังกายเบา ๆ แต่พอดี ไม่ฝืนกำลังตนเอง เพราะจะบาดเจ็บได้

วัดผล หมั่นสังเกตและจดบันทึกความยาวรอบพุงอยู่เสมอ เพื่อให้มีกำลังใจในการทำตามแผนลดพุงต่อไป วันนี้ 39 นิ้ว เดือนหน้า 38.5 นิ้ว คุณก็จะมีกำลังใจเพราะเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี เป็นรางวัลตอบแทนที่มีค่ายิ่ง

ขนาดความยาวรอบพุง เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องตรวจสอบอยู่เสมอ เพื่อให้รู้ทันการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ปรับการกิน การออกกำลังกายให้เหมาะสมให้รอบพุงอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ห่างไกลโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด และไขมันในเลือดสูง

การลดพุงทำได้อย่างไร

รอให้ถึงเวลา ดูแลสุขภาพ ก็อาจจะสายเสียแล้ว

ความสะดวกทำให้เสียสุขภาพ

“สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง” คำกล่าวที่ดูเหมือนจะเข้ากับยุคสมัยปัจจุบันเป็นอย่างมาก น่าแปลกที่คนเรารู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังทำ ยังทำในที่นี้หมายถึงทำร้ายตัวเองด้วยวิธีสารพัดไม่ต่างอะไรกับการเติมน้ำมันรถยนต์ผิดประเภท เป็นเครื่องเบนซินแต่ไปพลาดเติมน้ำมันดีเซล ร่างกายคนเราก็ไม่ต่างจากเครื่องยนต์ และเป็นเครื่องยนต์ที่ซับซ้อน มูลค่าสูงกว่ารถสปอร์ตหรูราคาสิบล้าน

นับตั้งแต่วัยเด็ก คนเราก็ถูกธุรกิจอุตสาหกรรมอาหาร ป้อนพลังงานที่ไม่เหมาะสมเข้าร่างกายแบบไม่รู้ตัว ทั้งขนมหวาน ลูกอม ขนมกรุบกรอบที่มีไขมันสูง อาหารจานด่วน ไอศกรีม รวมถึงน้ำอัดลมและน้ำหวาน ไม่นับถึงวัฒนธรรมการกินอาหารปิ้งย่างที่นำภัยร้ายเข้าสู่ร่างกายแบบค่อยเป็นค่อยไป จึงไม่น่าแปลกใจที่พบว่า โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง จะปรากฏแก่กลุ่มคนที่มีอายุน้อยลง ๆ เหตุเพราะการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสมนี้เอง

ความสะดวกทำให้เสียสุขภาพ

นอกจากอาหารที่กินเข้าไปอย่างไม่เหมาะสมแล้ว ยังมีการออกกำลังกายที่น้อยลงด้วย จากพฤติกรรมเสพติดเทคโนโลยี รายการทีวีและสมาร์ทโฟน การเล่นเกมก็ทำให้เคลื่อนไหวร่างกายน้อยลงมาก ซึ่งต่างจากการละเล่นสมัยก่อนที่เน้นการเคลื่อนไหวของสายตาและร่างกาย นอกจากนี้วัยผู้ใหญ่ก็เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งรถยนต์ บันไดเลื่อน ลิฟต์ ทำให้โอกาสในการออกกำลังกายก็ลดน้อยลง

วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ต้องเร่งรีบทุกอย่างรวมถึงการกินที่เคี้ยวเร็วเกินไป การกินข้าวคำน้ำคำ กินไปคุยไป และการปรุงรสที่มากเกินพอดี ยิ่งทำให้อาหารไม่ย่อย เกิดลมในกระเพาะ การได้รับโซเดียมสูงจากเครื่องปรุงรสและน้ำซุปต่าง ๆ และยังมีความเสี่ยงจากอาหารเป็นพิษ หากบังเอิญกินอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะมีเชื้อโรคปน ก็ทำให้สุขภาพอยู่ในความเสี่ยง

ด้วยภาวะความเสี่ยงด้านต่าง ๆ จะกลายเป็นชนวนก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาในระยะเวลาที่ร่างกายมีอายุมากขึ้น ภูมิคุ้มกันมีประสิทธิภาพลดลง หรือพักผ่อนน้อยจากความเครียดในการทำงานและใช้ชีวิต ซึ่งหลายคนก็ถือว่าอาจจะสายเกินไปแล้วที่จะแก้ไขให้สุขภาพกลับมาดีดังเดิม หรือถ้าแก้ไขได้ก็ทำให้ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลราคาแพงอีก

จะดีกว่าไหม ถ้าคนเราจะคำนึงถึงสุขภาพกันตั้งแต่วันนี้ โดยไม่ต้องรอให้เกิดอาการของโรคปรากฏ แต่หันมาดูแลการกินและการอยู่ของตนเองว่าควรจะปรับปรุงเรื่องอะไรบ้าง อะไรที่ทำผิดแนวทางอยู่ก็ปรับเปลี่ยนเสียใหม่ หลายคนอาจจะปรับชีวิตแบบหน้ามือเป็นหลังมือถ้าจิตใจเข้มแข็งพอ แต่บางคนก็ต้องค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนอย่างค่อยเป็นค่อยไป

เริ่มจากการมองตัวเองในกระจก วัดรอบเอวว่าได้กี่นิ้ว ไปตรวจสุขภาพร่างกายประจำปีที่โรงพยาบาล รวมถึงสุขภาพในช่องปาก แล้วจดบันทึกเพื่อเปรียบเทียบการพัฒนาตนเอง จะทำให้มีกำลังใจดูแลสุขภาพได้อย่างต่อเนื่อง

รอให้ถึงเวลา ดูแลสุขภาพ ก็อาจจะสายเสียแล้ว

โรคซึมเศร้า อาการป่วยที่บั่นทอนสุขภาพกายใจ ปี 2018

โรคซึมเศร้า อาการป่วยที่บั่นทอนสุขภาพกายใจ ปี 2018

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยรู้สึกผิดหวัง เศร้าเสียใจ เพราะสอบไม่ติด ไม่ผ่านสัมภาษณ์งาน โดนเจ้านายดุว่า อกหัก แฟนทิ้งไปมีคนใหม่ หรือคนที่รักเสียชีวิตจากไป คุณย่อมรู้สึกได้ถึงสุขภาพกายใจที่ถูกบั่นทอนความสุข นั่นคือ มีความเศร้าซึม หรือ มองโลกแบบ BLUE คือมันมัว ๆ หมอง ๆ ทำอะไรก็เบื่อ ไม่อยากขยับร่างกาย นอนไม่หลับ หรือไม่ก็อยากหลับไม่อยากตื่น อะไรที่เคยชอบก็ไม่อยากทำ อะไรที่เคยกินก็เบื่อ ไม่เจริญอาหาร หรือไม่ก็สุดโต่งอีกทาง คือกินไม่บันยะบันยัง กินให้อ้วนกันไปข้าง

อาการทั้งหมดนี้ เข้าข่าย “อาการซึมเศร้า” ทั้งสิ้น ซึ่งต้องรีบหาทางเยียวยาตัวเองก่อนที่จะปล่อยให้เรื้อรังยืดยาวไปนานเป็นสิบ ๆ วัน ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นเท่ากับว่า คุณอาจจะเป็นผู้ป่วยใหม่ “โรคซึมเศร้า” ซึ่งมีการเก็บสถิติพบว่า คนทั่วโลกราว 20 เปอร์เซนต์ ที่เป็นโรคซึมเศร้า นั่นเปรียบได้กับ นำคนมายืนเรียงแถวหน้ากระดาน ในหนึ่งร้อยคน จะมีอยู่ในนั้น 20 คนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า

เรียกได้ว่าเป็นตัวเลขผู้ป่วยที่สูงมาก และเท่ากับโอกาสที่คุณหรือใคร ๆ ก็เสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าได้ โดยเฉพาะในคนที่มีบุคลิกมั่นใจในตัวเอง กล้าพูดกล้าแสดงความคิดเห็น คนเก่งระดับแนวหน้า หรือที่เรียกว่า กลุ่มไอคิวสูงที่ไม่เคยต้องเผชิญกับความผิดหวัง

เพราะที่ผ่านมา การศึกษาเน้นที่การเชิดชู “คนเก่ง ไอคิวสูง” ให้ได้ “โชว์พาว” กันมาก ๆ เมื่อคนกลุ่มนี้ เจอกับความผิดหวัง หรือ ป้าย “WRONG” ก็เท่ากับ “ถูกปิดประตูใส่หน้า” ทำให้กลายเป็นโรคซึมเศร้าง่ายกว่าคนที่เรียนรู้ ล้มลุกจากความพ่ายแพ้ เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากความผิดพลาด และมองโลกอย่างมีความหวัง

แน่นอนว่าคนที่เป็นโรคซึมเศร้า แม้เริ่มจากปัญหาสุขภาพจิต แต่ก็จะตามมาด้วยอาการทางกาย ร่างกายอ่อนล้า รู้สึกเพลียไร้เรี่ยวแรง จนหลายคนไม่สามารถเรียนหรือทำงานต่อได้ กลายเป็นว่าขาดรายได้ดูแลตัวเอง เป็นปัญหาใหญ่ซ้ำเติมชีวิตเขาเหล่านั้นเข้าไปอีก

โรคซึมเศร้า จึงเป็นปัญหาสุขภาพทางจิตเวชที่ต้องกินยาและบำบัดด้วยการคุยกับจิตแพทย์ที่มีความชำนาญจนกว่าจะทุเลาและมีภูมิทางจิตใจที่แข็งแรงขึ้น คุณจึงจะสามารถหยุดยาและกลับมามีชีวิตที่เป็นปกติเหมือนก่อนได้

แบบสำรวจในการสำรวจตัวเอง

หากคุณไม่แน่ใจว่าตัวเองหรือคนใกล้ชิดเข้าข่าย โรคซึมเศร้าไหม กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้โพสต์แบบทดสอบไว้ให้คุณดาวน์โหลดได้เองง่าย ๆ ที่นี่ https://www.dmh.go.th/test/download/files/2Q%209Q%208Q%20(1).pdf แบบสำรวจนี้ จะทำให้คุณได้สำรวจตัวเองโดยไวและหากอาหารซึมเศร้าเกิดกับคนใกล้ชิด คุณจะได้ทราบว่า เขาเหล่านั้นกำลังป่วยทางใจ ควรให้เขาได้ระบาย เพื่อลดความอัดอั้นหรือลดความทุกข์ในใจในเบื้องต้น เลี่ยงการกระทำที่ส่งผลต่อจิตใจรุนแรง เช่น เล่นพนันออนไลน์ hero88 ไปดูหนังดราม่า เป็นต้น และควรแนะนำอย่างใจเย็นให้เขาปรึกษาคุณหมอจิตเวชเฉพาะทางจะดีที่สุด

แบบสำรวจในการสำรวจตัวเอง

ประโยชน์ของขิง ดีต่อสุขภาพจริงหรือหลอก

ประโยชน์จากขิง ช่วยอะไรได้บ้าง

ขิงเป็นสมุนไพรไทยที่ใช้กันมานาน ไม่ว่าจะสับซอยปรุงรสอาหาร ชงชาให้มีกลิ่นหอม หรือนำมาสกัดผสมในเครื่องสำอาง นอกจากรับประทานอร่อยแล้ว ขิงมีประโยชน์ต่อสุขภาพช่วยลดแก๊สในกระเพาะ แก้อาการคลื่นไส้ ช่วยลดน้ำหนัก สารสกัดจากขิงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งนำมาใช้ในทางการแพทย์ทั่วโลกมานานหลายศตวรรษเพื่อบรรเทาอาการปวด ลดภาวะอักเสบ ระงับอาการคลื่นไส้ อาการปวดประจำเดือน อาการเจ็บที่เกิดจากโรคข้อเสื่อม ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและมีสุขภาพดี ประโยชน์ในทางการแพทย์ที่พิสูจน์มาแล้วว่าอะไรจริงอะไรเท็จ มีดังนี้

ประโยชน์จากขิง ช่วยอะไรได้บ้าง

เป็นสารต้านการอักเสบ

ขิงจัดเป็นวงศ์เดียวกับขมิ้นและกระวาน เป็นสารธรรมชาติที่ต้านการอักเสบและสารต้านอนุมูลอิสระ หากรับประทานสารสกัดจากขิงในปริมาณพอเหมาะเป็นประจำ จะช่วยลดอาการปวดข้อเข่า ลดอาการเจ็บขณะยืน เดินและอาการข้อติด สารสกัดของขิงที่อยู่ในน้ำมันนวดช่วยบรรเทาอาการปวดเข่า บรรเทาอาการปวด ข้อต่อ โรคข้ออักเสบ ลดอาการปวดกล้ามเนื้อและลดอาการเมื่อยล้าหลังการออกกำลังกายได้ ลองรับประทานเมนูผัดขิงหรือสารสกัดจากขิงหลังการออกกำลังกายเพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายในวันรุ่งขึ้น

ลดอาการวิงเวียนศีรษะ

คุณประโยชน์จากขิงบรรเทาอาการคลื่นไส้ให้ดีขึ้นได้ จิบเครื่องดื่มน้ำขิงหลังจากทานอาหารมื้อหนักช่วยบรรเทาอาการท้องอืดและลดแก๊สในกระเพาะอาหาร ช่วยลดอาการวิงเวียนศีรษะได้

ช่วยลดน้ำหนัก

เชื่อกันว่าการดื่มน้ำขิงช่วยให้เจริญอาหาร ไม่มีข้อยืนยันในเรื่องนี้ แต่พบว่าน้ำหนักลดลงได้ เพราะขิงเข้าไปเร่งการเผาผลาญพลังงาน ในทางตรงกันข้ามกลับอาจทำให้ความรู้สึกอยากอาหารลดลง

ประโยชน์ของขิง ดีต่อสุขภาพจริงหรือหลอก

ขิงควบคุมน้ำตาลในเลือดได้

ได้ยินเสมอว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานรับประทานขิงแล้วจะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ความจริงยังไม่มีงานวิจัยสรุปออกมาชัดเจนในเรื่องนี้ ทั้งเรื่องการส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดและอินซูลิน

ป้องกันโรคหัวใจ

การรับประทานขิงมีส่วนช่วยป้องกันโรคหัวใจ เพราะมีคุณสมบัติลดระดับคอเลสเตอรอลซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ เมื่อช่วยควบคุมน้ำหนักและลดคอเลสเตอรอลได้ผลดี การรับประทานขิงน่าจะมีส่วนช่วยผู้ป่วยโรคอ้วนที่มีภาวะโรคหัวใจแทรกซ้อนได้เช่นกัน ลองปรุงขิง 2-3 ช้อนโต๊ะกับผักโขมและปลาแซลมอนที่อุดมด้วยโอเมก้า 3 สารต้านอนุมูลอิสระในขิงและผัก รวมทั้งกรดไขมันในปลาแซลมอนส่งเสริมสุขภาพหัวใจได้อย่างคาดไม่ถึง

เวลาเลือกซื้อขิงจากตลาด มองหาขิงที่สดใหม่ ผิวมีรอยบากและรอยฟกช้ำน้อยที่สุด ขูดหรือตัดออกจะเห็นเนื้อสีเหลือง นำมาผสมในเมนูอาหาร หมูหรือไก่ผัดพริกขิง ปลาทอดขิง แกงป่า ยำแหนม เมี่ยงปลาโรยขิงซอย เกี๊ยวนึ่งไส้เห็ดหอมและขิง น้ำจิ้มข้าวมันไก่ หรือซอสขิงราดปลาแซลมอน สามารถคั้นน้ำผสมกับผลไม้ต่าง ๆ เช่น แครอทและสับปะรด เก็บขิงเหลือในถุงพลาสติกหรือทัปเปอร์แวร์ใส่ตู้เย็นไว้ได้นานถึง 4 สัปดาห์ ทันทีที่เห็นขิงอ่อนเปลี่ยนสีหรือมีจุดด่างดำ ให้ทิ้งไป อย่านำมาใช้อีก

เหตุผลทำไมถึงต้องดื่มชาเขียว มีผลดีต่อสุขภาพอย่างไร

น้ำชาเขียวดีต่อสุขภาพ

คุณอาจเคยได้ยินว่าชาเขียวดีต่อสุขภาพ มีเหตุผลสนับสนุนหลายประการ เช่น ลดระดับไขมันในเลือด ลดคอเลสเตรอล ลดความอ้วน ป้องกันโรคมะเร็ง ป้องกันอัลไซเมอร์ ป้องกันผมร่วง ดีต่อสุขภาพผิว เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง และมีประโยชน์อีกมากมาย อาจทำให้หลายคนคิดทบทวนว่าบางทีถึงเวลาที่จะเปลี่ยนจากกาแฟมาดื่มชาเขียวในชีวิตประจำวันบ้างแล้ว

7 สาเหตุที่ควรดื่มชาเขียว

1.ป้องกันสูญเสียความทรงจำ
การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าชาเขียวและชาดำช่วยป้องกันการสลายตัวของสารสื่อประสาท acetylcholine ซึ่งเชื่อมโยงกับความทรงจำ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานชี้ให้เห็นว่าชาเขียวอาจเป็นวิธีการรักษาโรคอัลไซเมอร์ได้ การดื่มชาเขียวลดความเสี่ยงต่อความผิดปกติของระบบประสาท 50% และความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์ 86%

2. ต้านอนุมูลอิสระ
ชาเขียวมีฟลาโวนอยด์ที่มีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระ เรียกว่า เอปิคาเทชิน (Epicatechin) ซึ่งเชื่อมโยงกับการวิจัยหน่วยความจำในหนู เมื่อเร็วๆ นี้ พบว่าที่สามารถลดการเกิดโรคของเส้นเลือดทางสมอง และอาจช่วยป้องกันเซลล์สมองจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ

3.ป้องกันโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานเกิดจากร่างกายผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ ซึ่งอินซูลินตัวสำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ทั้งอินซูลินและน้ำตาลมีผลเสียต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดและอาจก่อสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรงในระยะยาว ชาเขียวมีฟลาโวนอยด์และแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) ซึ่งเป็นเม็ดสีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในพืช ช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้สม่ำเสมอ การดื่มชาเขียวจึงช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนอินซูลินและลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2

4.ป้องกันความเสี่ยงของโรคหัวใจ
เป็นที่รู้กันดีว่าชาเขียวเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ คุณรู้หรือไม่ว่าสามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ เพราะสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกัน แอล ดี แอล คอเลสเตอรอลเกิดออกซิไดซ์ จึงไม่เกิดการอุดตันของหลอดเลือดซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคหัวใจ การศึกษาทั่วไปแสดงให้เห็นว่าชาเขียวช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

5.กระตุ้นสมองตื่นตัวดีขึ้น
คนส่วนใหญ่ดื่มกาแฟเมื่อต้องการแก้ไขคาเฟอีน แต่แนะนำให้ดื่มชาเขียวดีกว่า ชาเขียวมีคาเฟอีนอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อกระตุ้นสมองตื่นตัวดีขึ้นโดยไม่มีผลเสียเหมือนกับกาแฟ เช่น ความวิตกกังวล

6.ลดความเสี่ยงเกิดฟันผุ
สารแคเทชิน (Catechins) พบได้ในชาเขียวสามารถฆ่าแบคทีเรียได้ ช่วยยับยั้งแบคทีเรีย Streptococcus mutans ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดคราบจุลินทรีย์ ลดความเสี่ยงของการเกิดฟันผุ

7.ปกป้องผิวจากแสงแดด
สารสกัดจากชาเขียว เช่น Epigallocatechin gallate (EGCG) สารโพลีฟีนอลที่อยู่ในใบชาเขียวมีฤทธิ์ป้องกันรังสียูวีจากดวงอาทิตย์ ทั้ง UVA และ UVB ทำหน้าที่เป็นเหมือนกับครีมกันแดด

เมื่อรู้เรื่องราวดีๆ จากชาเขียวแล้ว คงไม่แปลกใจที่ชาเขียวจะกลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมในเอเชีย เพราะเรากำลังตระหนักถึงประโยชน์ต่อสุขภาพมากขึ้น แต่ถ้าคุณไม่ชอบรสชาติยังมีหลายวิธีทำให้รสชาติชาเขียวดีขึ้น

ชาเขียวดีต่อสุขภาพ